Digital Commerce คืออะไร ? ประตูสู่โลกธุรกิจยุคใหม่ 2024 ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกแง่มุมของชีวิต Digital Commerce จึงกลายมาเป็นช่องทางการซื้อขายสินค้าและบริการที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน
บทความนี้จึงอยากจะพาทุกคนไปเจาะลึกกันว่า Digital Commerce คืออะไร แตกต่างจากการทำ E-Commerce อย่างไร แล้วผู้ประกอบการจะสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปพัฒนาแพลตฟอร์มการตลาดดิจิทัล อย่างไรได้บ้าง มาหาคำตอบพร้อมกันในบทความนี้ !
Digital Commerce คืออะไร ? Digital Commerce หรือ พาณิชยกรรมดิจิทัล หมายถึง กิจกรรมทางธุรกิจทั้งหมดที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการตลาด การบริการลูกค้า การชำระเงิน การจัดการสินค้าคงคลังและโลจิสติกส์ และอื่น ๆ อีกมากมาย ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การซื้อขายสินค้าออนไลน์เท่านั้น ซึ่งสามารถทำได้หลากหลายช่องทาง เช่น
เว็บไซต์ : ร้านค้าออนไลน์ที่สร้างขึ้นบนเว็บไซต์ ลูกค้าสามารถเข้าชมสินค้า เลือกซื้อ และชำระเงินผ่านเว็บไซต์ได้โดยตรงMarketplace : แพลตฟอร์มออนไลน์ที่รวบรวมร้านค้าหลายร้านไว้ด้วยกัน ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาและเลือกซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ต้องการได้Social Commerce : การซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram, Line และอื่น ๆ Mobile Commerce : การซื้อขายสินค้าผ่านมือถือ โดยใช้แอปพลิเคชันต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, JD Central และอื่น ๆ ประเภทของ Digital Commerce การจำแนกประเภทของ Digital Commerce ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่ใช้พิจารณา โดยทั่วไปแล้ว นิยมแยกตามรูปแบบธุรกรรม ดังนี้
1. ธุรกิจแบบ Business-to-Consumer (B2C) ธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค เป็นรูปแบบที่พบบ่อยที่สุดของ Digital Commerce ตัวอย่างเช่น การซื้อสินค้าออนไลน์จากเว็บไซต์ร้านค้าปลีก การสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน การจองตั๋วเครื่องบินหรือโรงแรมผ่านเว็บไซต์
2. ธุรกิจแบบ Business-to-Business (B2B) ธุรกรรมระหว่างธุรกิจกับธุรกิจ มักเกี่ยวข้องกับสินค้าหรือบริการที่ใช้ในธุรกิจ ตัวอย่างเช่น การสั่งซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์ การซื้อซอฟต์แวร์สำหรับใช้งานในองค์กร การจ้างบริการขนส่งสินค้า
3. ธุรกิจแบบ Consumer-to-Consumer (C2C) ธุรกรรมระหว่างผู้บริโภคกับผู้บริโภค เป็นการซื้อขายสินค้าหรือบริการระหว่างบุคคลทั่วไป มักผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น eBay, Facebook Marketplace
4. ธุรกิจแบบ Consumer-to-Administration (C2A) ธุรกรรมระหว่าง ผู้บริโภคกับหน่วยงานภาครัฐ เป็นการติดต่อสื่อสาร ชำระค่าธรรมเนียม หรือขอรับบริการจากหน่วยงานภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตัวอย่างเช่น การชำระภาษีออนไลน์ การขอใบขับขี่ออนไลน์
Digital Commerce แตกต่างจาก E-Commerce อย่างไร ? E-commerce เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Digital Commerce เท่านั้น ในขณะที่ Digital Commerce มีขอบเขตที่กว้างและครอบคลุมมากกว่า
E-commerce มุ่งเน้นไปที่การซื้อขายสินค้าและบริการออนไลน์เป็นหลัก เช่น การสั่งซื้อสินค้าจากเว็บไซต์ร้านค้าปลีกออนไลน์ต่าง ๆ เป็นต้น
ในขณะที่ Digital Commerce ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การซื้อขายสินค้าออนไลน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงกิจกรรมทางธุรกิจทั้งหมดที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการตลาด การบริการลูกค้า การชำระเงิน และอื่น ๆ อีกมากมาย
Digital Commerce มีประโยชน์ต่อการทำธุรกิจอย่างไร ? Digital Commerce มีประโยชน์ต่อการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตในหลายด้าน ดังนี้
1. เข้าถึงลูกค้าได้กว้างขึ้น ไม่มีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ : ลูกค้าสามารถเข้าถึงและซื้อสินค้าหรือบริการจากร้านค้าออนไลน์ได้ทุกที่ทุกเวลา ทั่วโลก ไม่จำกัดแค่ในพื้นที่ใกล้เคียงขยายฐานลูกค้า : ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน ผ่านช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย และ Marketplaceเพิ่มการรับรู้แบรนด์ : การมีตัวตนบนโลกออนไลน์ ช่วยให้แบรนด์กลายเป็นที่รู้จัก และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ 2. ลดต้นทุน ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน : ธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน พนักงานขาย หรือคลังสินค้าขนาดใหญ่ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน : เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยให้ธุรกิจทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดความผิดพลาด และประหยัดเวลาจัดการสินค้าคงคลังได้ดีขึ้น : ระบบการจัดการสินค้าคงคลังออนไลน์ ช่วยให้ธุรกิจติดตามสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียสินค้า และสั่งซื้อสินค้าได้ทันเวลา 3. เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ขยายตลาด : ธุรกิจสามารถขยายตลาดไปยังประเทศอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้นผ่านช่องทางออนไลน์สร้างรายได้เพิ่มเติม : ธุรกิจสามารถสร้างรายได้เพิ่มเติมจากช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เช่น การโฆษณา การขายสินค้าดิจิทัล หรือการให้บริการออนไลน์ 4. เก็บข้อมูลลูกค้าได้ง่าย ติดตามพฤติกรรมลูกค้า : ธุรกิจสามารถติดตามพฤติกรรมลูกค้าผ่านข้อมูลการซื้อ การค้นหา และการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อนำไปพัฒนาสินค้า บริการ และกลยุทธ์ทางการตลาดสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า : ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ เช่น อีเมล ข้อความ หรือโซเชียลมีเดีย 5. เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ช็อปปิ้งได้ทุกที่ทุกเวลา : ลูกค้าสามารถช็อปปิ้งสินค้าหรือบริการได้ทุกที่ทุกเวลา ผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น คอมพิวเตอร์ มือถือ หรือแท็บเล็ตเปรียบเทียบราคา : ลูกค้าสามารถเปรียบเทียบราคาสินค้าหรือบริการจากร้านค้าต่าง ๆ ได้ง่าย ผ่านเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาชำระเงินสะดวก : ลูกค้าสามารถชำระเงินผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น บัตรเครดิต บัตรเดบิต จ่ายด้วยการสแกน QR code หรือ e-walletติดตามสถานะการสั่งซื้อ : ลูกค้าสามารถติดตามสถานะการสั่งซื้อสินค้าหรือบริการได้ ผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
ข้อจำกัดของ Digital Commerce ถึงแม้การทำ Digital Commerce จะมีข้อดีอยู่มายมาย แต่ในการทำงานในยุคปัจจุบัน ก็มีข้อจำกัดอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน
การแข่งขันสูง : เนื่องจากมีคู่แข่งจำนวนมากทั้งในและต่างประเทศ ธุรกิจจึงต้องแข่งขันด้านราคาและลงทุนในการตลาดออนไลน์เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย : อาจถูกโจมตีทางไซเบอร์ทำให้ข้อมูลลูกค้ารั่วไหล รวมถึงต้องปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเคร่งครัดค่าใช้จ่ายการตลาดออนไลน์ : ต้องลงทุนทำโฆษณาออนไลน์ การตลาดผ่าน Influencer และการสร้างคอนเทนต์คุณภาพปัญหาการจัดส่งสินค้า : ต้องเสียค่าจัดส่ง ทำให้สินค้ามีราคาที่สูงขึ้น ทั้งยังต้องจัดส่งให้ตรงเวลา และมีความเสี่ยงที่สินค้าจะเสียหายระหว่างการจัดส่งเทคนิคทำ Digital Commerce ให้ประสบความสำเร็จ สำหรับคนที่สนใจ อยากลองนำ Digital Commerce ไปปรับใช้กับธุรกิจดูบ้าง เรามี 3 เทคนิคหลัก ๆ มาแนะนำด้านล่างนี้เลย
1. เลือกแพลตฟอร์ม Digital Commerce ที่เหมาะสม การเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจ จะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าตรงกลุ่มเป้าหมาย และใช้เงินในการลงทุนได้อย่างคุ้มค่า ซึ่งในแต่ละแพลตฟอร์มก็มีข้อดีข้อเสียต่างกันออกไป
เว็บไซต์ : เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการควบคุมทุกรายละเอียดของร้านค้าออนไลน์ แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการลงทุนและดูแลรักษาMarketplace : เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหญ่ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมSocial Commerce : เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการขายสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย แต่ก็ต้องทำความเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าบนแพลตฟอร์มเหล่านี้เป็นอย่างดีด้วย 2. จัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการสินค้าคงคลังอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขาย เพิ่มกำไร ส่งเสริมความพึงพอใจของลูกค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานธุรกิจ Digital Commerce ได้ ตัวอย่างเช่น
ติดตามสินค้าคงคลัง : ธุรกิจต้องติดตามสินค้าคงคลังอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันสินค้าหมดสต็อก หรือสินค้าในคงคลังมีมากจนเกินไปจัดการสินค้า : ธุรกิจต้องจัดการสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อลดต้นทุนการจัดเก็บและขนส่งใช้เทคโนโลยี : ธุรกิจควรใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดระบบจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อช่วยในการจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ 3. สร้างกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่ครอบคลุม กลยุทธ์การตลาดที่ครอบคลุมจะช่วยให้ธุรกิจเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ทั้งในและต่างประเทศได้อย่างแม่นยำ และสร้างการรับรู้แบรนด์ได้อย่างกว้างขวาง ตัวอย่างการวางกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ เช่น
กำหนดเป้าหมาย : ธุรกิจต้องกำหนดเป้าหมายการตลาดออนไลน์ว่าต้องการอะไร เช่น เพิ่มยอดขาย สร้างการรับรู้แบรนด์ หรือสร้างลูกค้าใหม่เลือกช่องทาง : ธุรกิจต้องเลือกช่องทางการตลาดออนไลน์ที่เหมาะสม เช่น Facebook Ads Google Ads หรือ Influencer Marketingวัดผล : ธุรกิจต้องวัดผลการตลาดออนไลน์ เพื่อประเมินผลลัพธ์และปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมDigital Commerce คือโอกาสที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้ต่อเนื่องท่ามกลางโลกดิจิทัล ทั้งนี้ ถ้าคุณกำลังมองหาผู้ช่วยในการทำ Digital Commerce หรือแม้แต่มองหาธุรกิจที่มีบริการรับทำเว็บไซต์ E-Commerce สามารถปรึกษากับ Shopstack ได้เลย เรามีบริการให้คำแนะนำด้านการวางแผนกลยุทธ์ Digital Commerce ที่เหมาะกับรูปแบบธุรกิจของคุณ ติดต่อเราวันนี้ เพื่อรับโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจคุณเติบโตได้มากกว่าเดิม
ข้อมูลอ้างอิง
Digital Commerce: How It Works and Trends for 2024 . สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567. จาก https://www.shopify.com/blog/digital-commerce .Ecommerce คืออะไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร และเพราะอะไรจึงควรลงทุนในธุรกิจนี้. สืบค้นเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567. จาก https://sell.amazon.co.th/blogs/2021/what-is-ecommerce.